วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Hard drive Unit: หน่วยวัดของ Hard drive


 


Hard drive Unit (หน่วยวัดของ Hard drive)


Hard drive Unit.ผมเขียน Page. นี้ขึ้นมาเพื่อขยายความบางส่วนของ หัวเรื่อง Flash drive(FAT32,NTFS) & Ready boost เท่านั้นครับ
ก่อนหน้านั้น ผมก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่า ทำไม ขนาดพื้นที่เก็บข้อมูลของ Hard disk(Space) หรือ Flash drive ที่เราใช้อยู่ ทำไมขนาดที่ระบุในฉลากที่ติดมากับอุปกรณ์ กับ ตอนที่เรา คลิกขวา > Properties นั้นมันไม่ตรงกัน 

เท่าที่ผมได้ขุดคุ้ยจากหนังสือ รวมถึง จาก Website อื่นๆอีกนิดหน่อย ก็พอจะสรุปเป็นภาษาชาวบ้านอ่านรู้เรื่องได้ตามนี้ครับ
1. หน่วยวัดที่ระบุในฉลากที่ติดมากับตัว Hard disk, รวมถึงอุปกรณ์ Flash drive ด้วย เป็นการใช้หน่วยวัดแบบ Physical หน่วยวัดแต่ละหลักจะมีค่า = 1,000 เช่น 1,000 KB = 1MB , 1,000 MB = 1GB

2. หน่วยวัดที่ระบุ ตอนที่เรา คลิกขวา > Properties นั้น เป็นการใช้หน่วยวัดแบบ Logical หน่วยวัดแต่ละหลักจะมีค่า = 1,024 (ยกเว้นค่าเริ่มต้นของ bit คือ 8 bit = 1 bytes) เช่น 1,024 KB = 1MB , 1,024 MB = 1 GB

สมมุติว่า ... ผมขอยกตัวอย่างเป็น Flash drive ละกันเพราะขนาดความจุมีไม่มาก
Flash drive Space.Flash Drive ของผม ระบุที่ฉลากว่า มีความจุ 2 GB แต่...เมื่อผมเสียบเข้ากับ Computer Windows ก็จะระบุว่า Flash Drive ของผม มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล แค่ 1.88 GB
ถ้าผมใช้วิธีการคำนวณ ตามหน่วยวัดแบบ Logical ก็จะได้ตามนี้
2 GB = 2000 MB (หน่วยวัดแบบ Physical ที่ระบุในฉลากที่ติดมากับ Flash Drive) ถ้าผมต้องการทราบว่า เมื่อเทียบกับ หน่วยวัดแบบ Logical จะเป็นเท่าไหร่ ผมก็ต้องเอา 2000/1024 = 1.953125 GB ..???
: ว๊าย..!! แหก... ทำไม?..ไม่เห็นตรงเลย หายไปไหนอีกตั้ง 74.88 MB .....อ่านที่ข้อ 3.

3. สาเหตุที่ขนาดของ Hard disk หายไปอีกส่วนหนึ่ง ก็เพราะว่า File ทุกประเภทต้องใช้พื้นที่ Hard disk ส่วนหนึ่ง เพื่อบันทึกข้อมูลสำคัญไว้ทั้งนั้น ข้อมูลสำคัญเหล่านี้ประกอบไปด้วย สารบัญ และ สถานะของ Block ต่างๆว่าถูกใช้งานหรือไม่ ,หรือในการ Format คุณกำหนดขนาดของ Block เท่าไหร่ เลือกการ Format เป็นแบบ NTFS หรือ FAT32 เป็นต้น ...สรุป : ขนาดที่หายไป อีก 74.88 MB ก็เนื่องมาจากระบบ Windows กันไว้สำหรับทำ Index และ เพื่อบันทึกข้อมูลสำคัญต่างๆของ File ว่างั้นเหอะ
Monsters, inc. Funny animation gif* เรื่องที่สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การฝัง Meta Data(ข้อมูลภายใน)ให้กับ File ก็มีส่วนทำให้ File นั้นๆมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยนะ
ข้อมูลที่ผมนำเสนอ ออกจะดูไม่ละเอียดอะไรมาก แค่ให้รู้ที่มาที่ไปก็พอจ๊ะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องโครงสร้างของ Hard disk ในเชิง Hardware อะไรทำนองนั้นลึกซึ้งมากมายนักด้วย (ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้นี่แหละ ..ดีกว่าไม่รู้แล้วแสร้งทำเป็นแสนรู้)
คุณสามารถอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติมได้จาก Link ข้างล่างนี้ครับ



วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Flash drive(FAT32,NTFS) & Ready boost: ใช้งาน Flash drive และ Ready boot ให้เต็มประสิทธิภาพ.


 

Flash drive(FAT32,NTFS) & Ready boost

ใช้งาน Flash drive และ Ready boot ให้เต็มประสิทธิภาพ

Flash drive(FAT32,NTFS) & Ready boost (Tom&Jery)


คุณเคยสังเกตไหมครับว่า อุปกรณ์ Portable อย่าง Hard disk External หรือFlash drive ที่มีขนาดความจุมากกว่า 4 GB.(ในบทความนี้จะพูดถึง Flash drive เป็นหลัก) ที่คุณชื้อมา และนำมาใช้งานทันทีนั้นสามารถเก็บ File ขนาดใหญ่ที่สุดได้กี่ GB? ผมหมายถึงขนาดของ File เดี่ยวๆ แค่ 1 File จริงๆนะครับ ถ้าคุณยังไม่รู้ ผมก็จะขอเฉลยเลยว่า....ไม่เกิน 4 GB.ครับ  ถ้าไฟล์ที่มีขนาดใหญ่มากกว่านั้น ระบบก็จะแจ้งเป็น File to large (ไฟล์ขนาดใหญ่) อย่างที่คุณเห็นใน (Pic 1.)



1. Flashdrive FAT32 Pop-up WARNING: File too Large.เหตุผลก็คือ ค่า Default ที่มาจากโรงงานของ USB Flash drive นั้นเป็นระบบจัดเก็บไฟล์แบบ FAT32 (FAT ย่อมาจาก  File All location Table)และ ระบบจัดเก็บไฟล์แบบนี้ มันสามารถเก็บไฟล์สูงสุดได้แค่นั้นแหละ (ไม่เกิน 4 GB.)
ถ้าคุณต้องการใช้งาน Flash drive ในแบบเต็มประสิทธิภาพไม่มีขีดจำกัดในเรื่องของขนาด File เราก็ต้อง Format ใหม่ให้เป็นแบบ NTFS  ก่อนครับ 
และ นอกจากจะสามารถเก็บ File ทีมีขนาดใหญ่ได้มากกว่า 4 GB. แล้ว ผมมีวิธีที่จะทำให้ Flash drive ของคุณสามารถรับส่ง ถ่ายโอนข้อมูลได้ไวขึ้นกว่าเดิมด้วย และ ผลพลอยได้หลังจากนั้นก็คือ คุณจะใช้งาน Ready Boost ได้มากกว่า 4094MB


 

A. การ Format Flash drive ให้เป็นแบบ NTFS(New Technology File System)

2.Format  Disk Dialogboxการ Format Flash drive (รวมถึง Hard disk External ด้วย)ก็มีวิธีแบบเดียวกันกับการ Format Hard drive ทั่วๆไปก่อนที่คุณ จะทำการ Format ถ้ามีข้อมูลอยู่ในนั้น ก็ให้สำรองไว้ก่อน มาดูวิธีการกัน
triangle คลิกขวาตรง Flash drive ที่คุณเสียบ เลือกที่ >Format จะมี Dialog box Format ขึ้นมาให้คุณเลือก(Pic 2.)เรียงตามหมายเลขเลยนะครับ
1. Capacity: ขนาดความจุที่นำมาใช้งานได้จริงของ Flash drive ไม่ใช่ความจุ ที่ระบุมากับตัว Flash drive นะครับ มันใช้หน่วยวัดกันคนละแบบ กรณีของ Hard disk รวมถึงอุปกรณ์เก็บข้อมูลอื่นๆก็เหมือนกัน เช่น Hard disk 320GBจะมีขนาดใช้งานได้จริง= 298GB , Hard disk 1TB ใช้งานได้จริง= 931GB เป็นต้น(อ่านรายละเอียดได้ที่หน้านี้ครับHard drive Unit: หน่วยวัดของ Hard drive)
2.  File system: ให้คุณเลือกเป็น NTFS
3. Allocation unit size: (การจัดสรรขนาดของกลุ่มข้อมูล)ในที่นี้หมาย
ถึงการกำหนดขนาดของ Block ซึ่งเป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่เล็กที่สุด ของ Drive ในเชิง Logical (ผมอาจให้คำจำกัดความ หรือ อธิบายไม่ถูกนะแต่มันก็ประมาณนั้นแหละ)
ตรงนี้มีผลกับความเร็วของ flash drive ครับ กล่าวคือ ค่าDefault ในการ Format แบบ NTFS นั้นโดยมาก จะมีค่า = 4096 bytes แต่ถ้าคุณกำหนดขนาดของ Block .ให้มีขนาดใหญ่กว่า(8192 bytes-64kb.) ก็จะทำให้ Flash drive  
ของคุณรับส่ง, ถ่ายโอนข้อมูลได้ไวขึ้น แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ คุณจะเก็บข้อมูลได้น้อยลง(
อ่านรายละเอียดที่ Note)
4. Restore device defaults : ถ้าคุณเลือกหัวข้อนี้ จากนั้นคลิก Start เพื่อ format Fiash drive ของคุณก็จะกลับมาเป็นแบบ FAT 32 และค่าของ Allocation unit size ก็จะเท่ากับ 32 kilobytes เหมือนเดิม
5. Valume label : สำหรับตั้งชื่อ Fiash drive
6. Format options: ถ้าคุณเอาเครื่องหมายถูกออกจาก Check box ของ Quick Format ก็จะเป็นการ Format อย่างละเอียด (เหมาะสำหรับ flash drive ที่ติดVirus ครับ), กำหนด Option ต่างๆเสร็จแล้ว กด Start จะมี Dialog box ขึ้นมาเตือนตามรูป
(การ Format จะลบทุกข้อมูลใน Diskนี้....) ให้คุณกด OK จากนั้นก็รอจนเสร็จก็จะมี Dialog box ขึ้นมาแจ้งว่า Format Complete. > กด OK จากนั้นก็กด Close ที่ Dialog box Format ไปได้เลยเป็นอันเสร็จสิ้น Flash drive ของคุณก็จะเป็นแบบ NTFS






B. Ready boost

Windows Ready boost เป็นคุณสมบัติที่มีมาตั้งแต่ ยุคของ Windows Vista เป็นการนำ Flash memory (Flash drive)มาทำเป็นหน่วยความจำพิเศษ(RAM)ให้กับระบบของวินโดว์ นอกจากจะช่วยลดเวลาในการ Boot ระบบได้แล้ว ยังช่วยทำให้เหลือหน่วยความจำ RAM สำหรับใช้งานกับโปรแกรมอื่นๆได้มากขึ้นด้วย
3.Ready boot (to compare NTFS & FAT32)ผมให้ดูภาพเปรียบเทียบความแตกต่าง
ของ Flash driveตัวเดียวกัน แต่ใช้ระบบจัดเก็บ File ที่แตกต่างกัน (Fat32 กับ NTFS)เมื่อนำมาใช้งาน
Ready boost ก็จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน (
Pic 3.)

เปิดการใช้งาน Ready boot :

ให้คุณคลิกขวาที่ Flash drive > Properties > ที่หน้าต่าง Properties คลิกที่ Tab Ready boost จะมีตัวเลือกดังนี้ครับ(Pic 3.)
1. ขนาดของ Flash drive
2. Do not use this device :ไม่ใช้อุปกรณ์นี้ในการทำ Ready boost
3. Dedicate this device to Ready boost :ให้อุปกรณ์นี้ เป็น Ready boot ค่าตรงนี้จะขึ้นอยู่กับขนาด Free space ของ Flash drive แต่ถ้า 
Flash drive ของคุณยังเป็นแบบ FAT 32 ถึงแม้คุณจะใช้ Flat drive ที่มีขนาดใหญ่กว่า 4GB.เท่าไหร่ก็ตาม ระบบก็จะอนุญาติให้คุณใช้ Ready boot ได้แค่ 4094 MB. เท่านั้น(
ดูที่หมายเลข 6.)
4. use this device : ถ้าคุณเลือกตัวนี้ คุณจะสามารถกำหนดได้ว่าจะใช้พื้นที่ของ Flash drive กี่ MB. ในการทำ Ready boost และเหลือพื้นที่ไว้ใช้งานอีกเท่าไหร่(หมายเลข 5.) >> กำหนดค่าเสร์จแล้ว กด OK ครับ






C. เรื่องของ Allocation unit size หรือ การกำหนดขนาดของ Block กับที่มาของ Size และ Size on disk

การกำหนด Allocation unit size ที่ผมบอกว่ามันมีผลกับความเร็วของการรับส่งข้อมูลก็เพราะว่า ธรรมชาติของการเก็บ และการค้นหาข้อมูลของ Drive นั้น(อันนี้ผมหมายรวมถึง Drive เก็บข้อมูลทุกชนิดนะครับ) ผมจะยกตัวอย่างแบบนี่ครับ
4.Size & Size on diskสมมุติว่า ถ้าคุณกำหนดให้ขนาดของ Block = 4096 bytes(4 KB) และ สมมุติว่า คุณได้สร้างไฟล์ขึ้นมา 1ไฟล์ขนาด 10 KB จากนั้นก็ Save แบบนี้ก็เท่ากับ ต้องใช้พื้นที่ =3 Block แต่ Blockที่ 3 นั้นใช้ไปแค่ 2KB(อีก 2KB ที่เหลือจะเป็นพื้นที่เสียเปล่า) ต่อมาคุณก็ได้สร้างไฟล์ที่2 ขึ้นมาอีก และถ้าคุณ Save ไฟล์ที่2 นี้ Computer มันไม่ได้ Save ข้อมูลต่อจาก Block ที่มีพื้นที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของ Fileแรกนะครับ แต่มันจะเริ่มต้น Saveที่ Blockใหม่ถัดไป แต่ถ้าคุณกำหนดพื้นที่ของBlockให้มีขนาดใหญ่ ในการ Save File ก็จะใช้จำนวน Block น้อยลงและเวลาที่คอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูล มันก็จะได้ไม่เสียเวลาค้นหาหลายๆ Blockตามไปด้วย แต่มันก็ต้องแลกกับการที่คุณต้องมีพื้นที่เสียเปล่ามากขึ้นนั่นเอง อ่านแล้วคุณอาจจะงง ให้คุณดูภาพ ของการคลิกขวา > Properties ที่ File หรือ Folder ประกอบครับ ในตัวอย่างของผมเป็นขนาดของFile.txt ของ Notepad (Pic 4.) Size = ขนาดของ File จริง ,Size on disk = จำนวนของ Block ที่ใช้ในการSaveFile คูณ(X)ด้วย 4096 bytes


======================================================

the Ani Matrix Funny animation gif.
waitบทความต่อจากนี้ ผมได้มาจากoverclockzonewww.overclockzone.com ขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และ ก็ขออนุญาติคัดลอกบทความด้วยเนอะ (แบบว่าขี้เกียจเรียบเรียงเองหนะ เพราะเท่าที่เขียนมาถก็ยาวมากแล้ว) ต้นฉบับมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากกว่านี้ครับ
แต่ที่ผมนำมาลงเป็นแบบย่อ และ แก้ไขเพิ่มเติมเป็นบางส่วน เพราะต้นฉบับเขียนมาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งก็เป็นยุคของ XP ที่เป็น Windows Version สุดท้ายที่ File ของระบบสามารถรองรับ การติดตั้งบน Drive Format แบบ FAT 32 และ เริ่มเปลี่ยนมาใช้ระบบจัดเป็บ File แบบ NTFS โดยสรุป XP เป็น Windows Version เดียวที่รองรับ และ มีความสามารถในการสนับสนุน File System ทั้งแบบ FAT และ NTFS ครับ... และ นับจาก Windows Vista(2007) จนมาถึงปัจจุบัน(Win8) File System ของ Windows (ไม่เกี่ยวกับ File ทั่วไปที่ Save นะ)ก็รองรับการติดตั้งได้กับ NTFS Format เพียงอย่างเดียว
แต่เดิมนั้น NTFS (New Technology File System) ออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบ ปฏิบัติการ Windows NT โดยเฉพาะ 
•เป็นระบบไฟล์ที่ออกแบบเพื่อให้มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ และนำมาใช้กับระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่ต้องมีการควบคุมระบบความปลอดภัย 
•สนับสนุนการตั้งชื่อไฟล์หรือ ไดเร็คทอรี่แบบยาว ได้ถึง 255 ตัวอักษร

ข้อดี และ ข้อแตกต่างของ NTFS กับ FAT32

1. มีความสามารถในการบีบอัดข้อมูล (File Compression)ให้ได้พื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น โดยไฟล์ที่เก็บข้อมูลเป็นตัวอักษรจะบีบอัดได้ประมาณ 50 % ถ้าเป็นไฟล์แบบ .exe จะประหยัดเนื้อที่ได้ประมาณ 40 %
2. สามารถกำหนดสิทธิ์ ในการเข้าถึง File ของผู้ใช้ได้ (Permission) เช่น Full control, Modify, Read & execute, Read เป็นต้น (คลิกขวาที่ File, Folder, Drive > Properties > Security Tab)
3. เข้ารหัสข้อมูลได้(encoding) : โปรแกรมเข้าระหัสที่ติดมากับ Windows OSที่หลายคนรู้จักกันดีก็คือ BitLocker นั่นไง(ตั้งแต่ Vista-8 และ ต้องเป็นรุ่นตั้งแต่ Professional - Enterprise ถ้าใช้ Version ต่ำกว่านั้นจะถูกตัดออกไป)
4. NTFS สามารถรองรับขนาดของไฟล์ และ พาร์ติชันได้ใหญ่กว่า แบบ FAT ในทางทฤษฎีสามารถรองรับขนาดของไฟล์ และ พาร์ติชันรวมกันได้ถึง 16 Exabyte (EB) แต่ในทางปฎิบัติ สามารถรองรับขนาดของไฟล์ได้ 4-64 GB ส่วนขนาดของพาร์ติชันรองรับได้ 2 TB
5. มีความสามารถจัดการกับ Cluster ที่เกิดปัญหา ซึ่งจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Bad- Cluster Mapping คือเมื่อระบบพบว่ามี Bad Sector บน Harddisk ก็จะจัดหา Cluster ใหม่แล้วย้ายข้อมูลจาก Cluster เก่ามาใส่ให้โดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกำหนด Cluster เก่าเป็น Bad Sector
 ในระบบ FAT: ในที่นี้หมายถึงระบบ FATทั้งหมดที่เคยมีมาจากอดีตด้วยนะ ( FAT 32,16,12, 8 อยากรู้ประวัติความเป็นมาอ่านได้ที่ Wikipedia Link1. Link2.)
- 
จะไม่สนับสนุนการบีบอัดข้อมูล, การเข้ารหัสข้อมูล และไม่มี Feature ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการกำหนดค่า Permission

- ถ้า Shutdown แบบไม่ถูกต้องตามวิธี(FAT32) จะต้องมา Check disk กันทุกครั้ง แต่ถ้าเป็น NTFS จะไม่ค่อย Check disk ยกเว้นกรณีที่ Map และ Index ของ NTFS เกิดเสียหายถึงจะ Check disk


วิธีติดตั้ง และ Run Windows จากอุปกรณ์ USB (ตัวอย่างการสร้าง WIn 10 ฉบับพกพา)
Free Download Virtual Machine Software and How to used VMware Player, Oracle VM VirtualBox, Microsoft Virtual PC2007, Citrix XenServer, Linux Live USB Creator, etc.





How to permanently disable windows update: ปิดการตั้งค่า windows update แบบถาวร


 

How to permanently disable windows update

ปิดการตั้งค่า windows update แบบถาวร

How to permanently Disable windows update(Corpse bride)
ในการปิดWindows update บางท่านอาจจะคิดว่าก็แค่เข้าไปปิดใน Control panel จากนั้นก็เข้าไปเลือก Disable ใน Servics.msc หรือบางคนก็ไปปิดใน msconfig ที่ ServicesTab แค่นั้นก็จบ แต่...ในความเป็นจริงมันไม่อย่างนั้นครับ Windows System มีวิธีการคืนค่าของมัน หรือถ้า Windows มันไม่คืนค่าเองก็มีข้อเสียตรงที่ อาจมีมือดี มาเปิดมันขึ้นมาได้แบบง่ายๆ
คงไม่ต้องมาอธิบายกันมากนะครับว่า ทำไมเราถึงต้องปิด, ถ้าปิดแล้ว Microsoft จะให้เหรียญกล้าหาญ,รางวัล Nobel prizes อะไรรึเปล่า?... เอ๊ะ!? หรือว่า. .? จะได้รับรางวัล เป็น Net book ยี่ห้อผลไม้นิสัยเสีย ...ผู้เขียนคิดว่าหลายท่านคงมีคำตอบในหัวอยู่แล้วมั้งครับ
* ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้งาน Windows แบบ Multi OS แล้วเจอปัญหาโลกแตกเกี่ยวกับ Windows is not Genuine(วินโดว์ไม่ใช่ของแท้...) เสนอหน้ามาให้คุณเห็นบริเวณขอบล่าง/ขวา ของหน้าจอ(อะไรกัน?..ก็ว่ามี Windows Loader กับ ป๊ำแผ่นมาเนียนสุดแล้วนะ ไหงแจ้งหมดอายุซะงั้น) ลองทำตาม Review นี้ดูครับ

นอกเรื่องแต่ก็อยากให้อ่าน
โดยส่วนตัวผมสนับสนุนให้ทุกคนใช้ Free ware และ Software ที่ถูกลิขสิทธิ์
ทุกวันนี้โลกComputer, Software เปลี่ยนไปมาก ของฟรีดีๆมีอยู่ในโลกจริง ผู้ผลิต Freeware ที่เขาเต็มใจให้เราใช้โดยไม่คิดมูลค่า(และมีคุณภาพด้วย) ก็มีจนนับไม่ถ้วน แต่...ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องใช้ Software ประเภทผิดลิขสิทธิ์ละก็ ผมก็อยากจะบอกว่าให้ใช้เท่าที่จำเป็นก็พอ มันไม่ดีใครๆก็รู้ แต่ถ้าจะให้มาต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมคงไม่ทำเพราะคนใช้ Computer แต่ละคนก็ไม่ได้จะร่ำรวยเหมือนกันหมด



วิธีการปิดการตั้งค่า Windows update แบบถาวร


windows_-button ถ้าคุณมีพื้นฐานเกี่ยวกับ Windows System และ Registry ดีอยู่แล้วให้ทำตามนี้เลย (ไม่จำเป็นต้องอ่าน Review อย่างละเอียดก็ได้)

1. ให้คุณเข้าไปปิดWindows Update ใน Control Panel ก่อนครับ
2.เข้าไป ปิด Windows update ใน Services.msc หรือ System Configuration (msconfig) คุณจะเลือกปิดทางไหนก็ได้ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน 
* แต่มันต่างกันตรงที่ สมมุติว่า..คุณยังไม่ได้ปิด Windows update ทั้งใน Services.msc และ msconfig

triangle ถ้าคุณเลือกปิด Windows updateใน msconfig ที่ Services Tab ก่อน (โดยการเอาเครื่องหมายถูกออกจาก check box) Windows update ใน Services.msc ก็จะถูกปิดไปด้วย (มีค่าเป็น Disable แต่...)
triangle[1] ถ้าคุณเลือกปิด Windows update ผ่านทาง Services.msc ก่อน (Clickขวาที่ Windows Update > properties ที่ Start up type : เลือก Disable) ตัวเลือกของ Windows update ใน msconfig ที่ Services Tab จะถูกปิดเช่นเดียวกัน และที่สำคัญ ตัวเลือกนี้จะหายด้วยครับ *ผู้เขียนแนะนำว่า ปิด Windows update ผ่านทาง Services.msc จะดีกว่าเพราะป้องกันมือดีเข้ามาแก้ไข Windows update ที่ Services Tab ของ msconfig ในภายหลังได้ด้วย
3. Copy Code จากตารางข้างล่างนี้ลงใน Notepad จากนั้น Save เป็นไฟล์.reg จากนั้น Double click เพื่อ Import reg หรือ คลิกขวาเลือก Merge ก็ได้
Windows Registry Editor Version 5.00
[HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\WindowsUpdate]
"DisableWindowsUpdateAccess"=dword:00000001
"DisableWindowsUpdateAccessMode"=dword:00000000
Creating Disable windows Update.reg

- เสร็จแล้ว ให้เข้าไปดูตัวเลือกต่างๆของ Windows update ใน control panel อีกครั้ง ดูภาพเปรียบเทียบ ก่อน และ หลังการแก้ไข Registry ที่ Pic 5.ข้างล่าง







windows_-button[1] วิธีการปิดการตั้งค่า Windows update แบบถาวร Review อย่างละเอียด, อธิบายเป็นส่วนๆ


A. ปิด windows update ใน Control Panel.

Type wuapp in Run Dialog & Press Enter or Click OKวิธีเปิด หน้าต่างการตั้งค่าWindows update (เลือกทำตามข้อไหนก็ได้)
วิธีที่1. แบบง่าย
กด Windows key + r (Run Dialogbox จะปรากฏขึ้น) >
พิมพ์คำว่า 
wuapp > กด Enter
วิธีที่2. แบบปกติ
ให้คุณคลิกขวาที่หน้า Desktop > Personalize > ที่ตัวเลือกด้านบน-ซ้าย คลิก Control Panel Home
- ที่ Address bar ของหน้าต่าง Control Panel ให้คุณ Click 01 All Control Panel Items (ดูรูป)
 Control Panel > All control Panel Items จากนั้นคลิกที่ Windows update (ตัวเลือกสุดท้าย)

ที่หน้าต่างของ Windows Update > คลิกเลือก Change settings (อยู่ด้านบน-ซ้าย. ไม่มีภาพประกอบครับ)
Windows Update Change settings choice (in Windows 7)- ที่หน้าต่าง Change settings (Pic 1.) หัวข้อImportant update ให้คุณคลิกเลือกเป็น Never check for update (not recommanded) (1.)
- Recommended update(2.) ◘ Give me recommended update the some way I receive important update
ตรงนี้
ผมแนะนำว่าให้คุณใส่เครื่องหมายถูก ไว้ก่อนครับ แต่ถ้าคุณไม่เลือกก็ไม่มีผล เพราะว่า ความหมาย ของมันก็คือ ถ้า Windows มี File update ก็ให้แจ้งเตือน และ ต้องให้เรารับรองก่อนถึงจะ Update ได้ และที่ผมบอกว่าตรงนี้มันไม่มีผลก็เพราะว่า คุณเลือก Never check for update... ไปแล้ว และเรายังจะปิดการตั้งค่า Windows update แบบถาวร ใน Registry อีกชั้นหนึ่ง
- Who can Install updates(3.) ◘ Allow all users to install updates on this computer : ถ้า Windows ของคุณมีเครื่องหมายถูกอยู่ ให้เอาเครื่องหมายถูกออกครับ เพราะว่า ถ้าคุณเลือกข้อนี้ ก็เท่ากับ ยอมให้ทุก Users สามารถติดตั้ง File update ได้หมด ...ตั้งค่าเสร็จแล้วกด OK






 

B. ปิด windows update ใน services.msc




Disable Windows update in services.msc
1. ให้คุณเปิดเปิด Services.msc ขึ้นมา
กด Windows Key + r (Run Dialog box ) > พิมพ์ services.msc กด OK
2. ที่หน้าต่าง services.msc > ให้คุณคลิกขวาที่ Windows update เลือก properties > General Tab ที่ตัวเลือก Start type : เลือกเป็น Disable (Pic 2.)
3. Recovery Tab ตรงนี้ เป็นส่วนที่จะให้คุณเลือกว่าในกรณีที่ Services ตัวนั้นๆเสียหาย หรือเกิดอาการขัดข้องอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณจะให้ระบบขานรับอย่างไรบ้าง ตัวเลือกทั้งหมดในกรอบสีส้มให้คุณเลือกเป็น Take No Action และที่ Reset fail count after: ให้คุณใส่เป็น 0 days เสร็จแล้วกด OK ปิดหน้าต่าง Services ได้เลยครับ






C. ปิดการการตั้ง windows update ใน Registry

* ถ้าไม่อยากเสียเวลา คุณจะใช้วิธีการ Import Reg ตามตาราง"สีเทา" ข้างบนก็ได้ (อ่านที่ ข้อ3. Copy Code จากตารางข้างล่างนี้ลงใน Notepad.......) หรือ ถ้าต้องการจะเข้าไปศึกษาระบบของ Registry ก็อ่านต่อ
1. เปิดโปรแกรม Registry Editor : กด Windows Key + r > Run > พิมพ์ regedit > OK > Yes, 
Win 7 พิมพ์ regedit ที่ช่อง Start search ก็ได้, ถ้าเป็น Win8 ก็พิมพ์ regedit ที่ Start search


2. ไปตาม Key นี้ HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\WindowsUpdate
Disable Windows update in regedit (Edit New key)

* ถ้าคุณไปถึง key Policies และ ไม่มี key ย่อยที่ชื่อ WindowsUpdate ก็ให้สร้างขึ้นมาใหม่วิธีการก็คือ คลิกขวา ที่ Key Policies เลือก New triangle(white) Key (Pic 3.) จากนั้นตั้งชื่อเป็น WindowsUpddate (pic 4.)
Creat New dword(32bit) value
3. ที่ Key WindowsUpdate (pic 4.) ให้คุณสร้าง DWORD Value ขึ้นมา 2ค่าครับ วิธีการก็คือ คลิกขวาที่ Column ด้านขวา เลือก New > DWORD (32bit) Value โดยที่.
- DWORD Value ที่1. ตั้งชื่อเป็นDisableWindowsUpdateAccess จากนั้น Double click เพื่อใส่ Value data = 1
- DWORD Value ที่2. ตั้งชื่อเป็น 
DisableWindowsUpdateAccessMode Double click เพื่อใส่ Value data = 0 เสร็จแล้วปิดโปรแกรม Registry Editor

จากนั้นให้เข้าไปดูตัวเลือกต่างๆของ Windows update ใน control panel อีกครั้ง ดูภาพเปรียบเทียบ ก่อน/หลังการแก้ไข Registry(Pic 5.)

Windows update Before & after Edit reg

* เพื่อเป็นการตรวจสอบ อีกทางหนึ่ง

รอบคอบไว้ก่อนไม่เห็นเป็นไร.... อีกจุดหนึ่งที่เราสามารถตรวจสอบ Windows update (การตรวจสอบ Update ของโปรแกรมอื่นๆก็าสมารถใช้วิธีนี้ได้) คือ เวลาที่เครื่องของคุณเชื่อมต่อ Internet หรือไม่ต่อก็ได้ ให้คุณคลิกขวา ที่ Task bar > คลิก Start Task Manager (หรือ กด Ctrl + Ship + Esc) ที่หน้าต่าง Windows Task Manager > คลิกที่ Services Tab > ให้คุณมองหา Service ที่ชื่อ wuauserv ดูที่ช่อง Status ว่าเป็น Stoped หรือ Runing และ ถ้าเป็น Runing ให้คุณคลิกที่ ปุ่ม Services เพื่อเปิด หน้าต่าง Services จากนั้นก็ให้ตรวจสอบแก้ไขตามข้อ B. อีกที
รายละเอียดปลีกย่อย ที่น่าสนใจ
triangle[2] การปิด Windows update โดยใช้ Registry นั้น สามารถสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงตั้งค่า Windows update ใน Control panel ได้หมด. แต่ เรายังสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า Windows update ใน Services.msc ได้อยู่ดี ..ในข้อนี้ เท่าที่ผมทดลอง ไม่ว่าจะเลือก disable Windows update ใน Services.msc หรือไม่ก็ตาม เพียงแค่คุณปิด windows update ใน control Panel แบบชัวร์ๆ จากนั้นเข้าไปแก้ไข หรือ Import Registry ตามที่ผมอธิบายมา Windows update ก็จะไม่ทำงานอีก แต่การปิด Windows update ใน Services.msc ก็เพื่อกันเน่าไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
triangle[3] ความคิดเห็นส่วนตัวของผม ในการแก้ไข Registry ตามวิธีการขั้นต้นนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบของ Windows จากภายในเพื่อให้ส่งผลลัพธ์โดยตรงกับภายนอก ซึ่งแตกต่างจาก การเข้าไปเปลี่ยนแปลงค่าใดๆ ใน msconfig หรือ Services.msc ในลักษณะนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงค่าต่างๆของ Windows แค่ผิวเผินเท่านั้นเอง มันมีผลกับ Reg เหมือนกัน แต่ในเมื่อข้อมูล หรือคำสั่งใน Registry อยู่เหนือ Configuration การแก้ไขในจุดนี้ Windows จึงยึดเอาคำสั่งใน Registry เป็นหลัก
triangle[4] ถ้าคุณอยากรู้ว่า Services ตัวไหนทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไร วิธีการก็คือให้คุณเลื่อน Mouse ไปวางเหนือช่อง Description ของ Services ตัวนั้นๆครับ
triangle[5] Services ตัวอื่นๆที่คุณสามารถปิดได้ ถ้าคุณไม่ได้ใช้ หรือ ไม่ต้องการให้มันทำงานอยู่เบื้องหลัง ให้เปลืองทรัพยากรเครื่องโดยใช่เหตุ
- BitLocker Drive Encryption Service : โปรแกรมที่ใช้สำหรับเข้าระหัส Hard drive (ไม่เข้าท่าเลย..เต่าเป็นง่อยยังจะเดินได้ไวกว่ามานั่งรอ BitLocker ทำงานซะอีก (สนใจวิธีการ  ซ่อน และล็อค File,Folder & Drive แบบไม่ใช้โปรแกรม ก็สามารถคลิกอ่านได้จากบทความชุดนี้ มีหลากลายวิธีการให้คุณเลือก)
- Remote Desktop Services : ใช้สำหรับ เชื่อมต่อ และ ควบคุมเครื่องระยะไกล
- TabletInputService : เครื่องแท็บเล็ทครับ ถ้าไม่ได้ใช้ก็ปิดเลย
- Media Center Extender Service , Windows Media Center Receiver Service , Windows Media Center Scheduler Service , Windows Media Player Network Sharing Service , Windows Firewall
triangle[6] Services ตัวอื่นๆที่นอกเหนือจากที่ผมได้ยกตัวอย่างมาคุณจะทดลองปิด หรือเลือก Start type: ตัวอื่นๆเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก็ได้เหมือนกัน กล่าวคือ ถ้าคุณปิดแล้วโปรแกรม หรือ Windows มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณก็แค่กลับไปคืนค่าให้เป็นแบบเดิมซะ หรือ ถ้าปิดแล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ปิดตลอดไปเลยก็ได้
Sexy Girl:Funny animation.giftriangle[7] Services ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบ Windows นั้นมีมากว่าที่คุณเห็นใน Task Manager และ Services.msc นะครับ แต่ส่วนใหญ่ Services ที่วินโดว์ซ่อนเอาไว้จะเป็น Services ที่มีความจำเป็นต่อระบบ และ มีลักษณะการทำงานที่ตายตัว(ไม่จำเป็นต้องตั้งค่า) แต่ ถ้าคูณต้องการจะควบคุม Services ได้ครอบคลุมทุกตัวจริงๆ ก็ต้องควบคุมผ่าน Registry ตาม Root key นี้ครับHKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\services ตรงนี้ผมยังไม่อธิบายรายละเอียด เพราะจะยืดเยื้อยาวเหยียดจนเกินงาม (เพิ่งจะรู้ตัวเหรอ?) เอาไว้แยก หัวข้อเขียนต่างหากดีกว่า แต่เอ่อ!!....ตกลงนี่ผมเขียนเรื่อง Disable windows update หรือเรื่อง Services กันแน่ครับเนี่ย?...