Disable & Enable Task Manager with gpedit.msc, Registry editor, file.reg & batch file: ปิดและเปิด การใช้งาน Task Manager ด้วย gpedit.msc, Registry editor, file.reg และ batch file

 

Disable/Enable...Contents
1. Disable & Enable regedit, cmd  (Compare setting in gpedit & regedit)	2. Disable & Enable gpedit.msc  with File.reg, Registry Editor & cmd
3. Disable & Enabl Run  (Compare setting in gpedit & regedit)	4. Disable & Enable Task Manager with batch file, reg file, Registry editor & gpedit.msc
5. Open Administrator Account to Troubleshoot some problems of windows

 

Disable & Enable Task Manager with gpedit.msc, Registry editor, file.reg & batch file

ปิด และเปิด การใช้งาน Task Manager ด้วย gpedit.msc, Registry editor, file.reg และ batch file

บทความนี้เขียนขึ้นมาเพื่อ แนะนำวิธีการแก้ไขในกรณีที่คุณไม่สามารถเปิดใช้งาน Task Manager ไม่ได้มากกว่าที่จะแนะนำให้ปิด แต่ถ้าคุณใช้ Computer ร่วมกับคนอื่น หรือเป็นคนที่ดูแล Computer สาธารณะ หรือ อะไรทำนองนั้น จะปิดเพื่อความปลอดภัยก็ไม่ว่ากัน - ทุกครั้งที่มีการทดลองเกี่ยวกับการแก้ไขระบบ ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงมาก หรือน้อยก็ตาม ฉันแนะนำว่าคุณควร Backup ระบบไว้ก่อนจะดีกว่า (ง่ายๆก็คือ Create a restore point) จากวิธีทำในข้อ A - D ให้คุณเลือกทำตามข้อใดก็ได้ ตามความถนัด

A. ปิด/เปิด การใช้งาน Task Manager โดยการตั้งค่าใน gpedit.msc เปิดโปรแกรม Local Group Policy Editor : (Pic 1.) - กด Windows key + r > พิมพ์ gpedit.msc > Ok. - หรือพิมพ์ gpedit.msc ที่ Address bar จากข้างใน Folder อะไรก็ได้ จากนั้นกด Enter 1. ที่หน้าต่างของโปรแกรม gpedit (ในตัวอย่างของฉันเลือกมุมมองแบบ Standard View) ให้คุณคลิกเข้าไปตาม Path นี้ค่ะ User Configuration > Administrative Ctrl+Alt+Del Options 2. ที่ Column ด้านขวา ให้คุณ Double click ที่   Remove Task Manager 3. ที่ Remove Task Manager Dialog ให้คุณเลือกเป็น  Enabled จากนั้นคลิก Ok * ถ้าคุณอยากรู้ว่าการตั้งค่าของตัวเลือกนั้นๆ สามารถนำมาใช้งานกับ Windows รุ่นไหนได้บ้างให้คุณดูที่Support on * ถ้าคุณอยากรู้ว่าการตั้งค่าของตัวเลือกนั้นๆจะให้ผลลัพธ์อย่างไร ให้คุณอ่านที่ Help (เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วก็ปิด gpedit ได้เลยค่ะ) วิธีการคืนค่า(Restore): ให้คุณกลับเข้าไปแก้ไขตัวเลือกให้เป็น  Not Configured หรือ  Disable ตัวใดตัวหนึ่ง *แต่ก็มีข้อแม้อยู่ว่า ถ้าคุณปิดการใช้งาน Task Manager โดยการใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่เป็นการปิดจากข้างในโปรแกรม gpedit.msc หรือ... Task Manager ของคุณถูกปิดโดยโปรแกรมจำพวก Malware คุณต้องใช้ตัวเลือกเป็น  Disable เท่านั้นค่ะถึงจะคืนค่าให้Task Manager กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ถ้าคุณอยากรู้เหตุผลว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? หรือ ทำไมต้องเลือกเป็น Disable ให้คุณหาคำตอบได้จากบทความนี้ค่ะ Basic Local Group Policy page 3: Options ต่างๆของการตั้งค่าใน Policy

B. ปิด/เปิด การใช้งาน Task Manager โดยการตั้งค่าใน Registry Editor. เปิด Registry editor (เลือกเปิดตามวิธีใดก็ได้) - กด Windows key + r > พิมพ์ regedit > OK > Yes - หรือ พิมพ์ regedit ที่ Address bar จากข้างใน Folder อะไรก็ได้ จากนั้นกด Enter > Yes ที่โปรแกรม Registry Editor ให้คุณคลิกไปตาม key นี้ (Pic 2.) [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] - ถ้าคุณคลิกไปถึง Key ที่ชื่อ Policies แต่วินโดว์ของคุณไม่มี Key ที่ชื่อ System คุณต้องสร้างขึ้นมาเอง(คลิกขวาเลือก New > key จากนั้นก็ตั้งชื่อตามตัวอย่าง) - ที่ Column ด้านขวา ให้คุณคลิกขวา > New > DWORD [32 bit] Value > ตั้งชื่อเป็น DisableTaskMgr - Double click ที่ DisableTaskMgr > ที่ช่อง Value data ...>>>> 1. ถ้าคุณต้องการ "ปิดการใช้งาน Task Manager" ให้คุณใส่ค่า Value data = 1 2. ถ้าคุณต้องการ "เปิดการใช้งาน Task Manager" ให้คุณใส่ค่า Value data = 0 (เป็นค่า Default) * การคืนค่าให้เปิดการใช้งาน Task Manager ได้ตามปกติอีกวิธีก็คือ ให้คุณลบ Value data หรือลบkey ที่คุณสร้างออกไปได้เลย

C. ปิด/เปิด การใช้งาน Task Manager โดยการ Add file.reg 1. Disable (ปิดการใช้งานTask Manager) Pic 3. - ให้คุณ Copy code จากตารางข้างล่างนี้ จากนั้นนำไป Paste ใน Notepad หรือ WordPad > Save เป็นFile.reg ตั้งชื่ออะไรก็ได้(นามสกกุล.reg คุณต้องพิมพ์ใส่เอง) > Double click ที่ file.reg > Yes > Yes > Ok Windows Registry Editor Version 5.00 [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] "DisableTaskMgr"=dword:1 2. Enable (เปิดการใช้งานTask Manager) Pic 4. - คลิกขวาที่ file.reg (ที่คุณสร้างขึ้นตามข้อ 1.) > เลือก Edit จากนั้นเปลี่ยนค่าของ "DisableTaskMgr"=dword:0 > Save > Double click ที่ file.reg > Yes > Yes > Ok Note: - การเขียนค่าของ dword value "DisableTaskMgr" ที่เป็น 1 และ 0 นั้น, ถ้าคุณต้องการเขียนให้ถูกหลักการเขียนของเลขฐาน16 แบบ32 bit (Hexadecimal 32 bit) คุณต้องเขียนเป็น 00000001 และ 00000000 (ตัวเลขหนึ่งตัว = 4 bit, 4 x 8 = 32 bit) แต่ที่ฉันเขียนตามภาพตัวอย่างก็เพราะว่า ในทางปฏิบัติ เลข 0 ที่อยู่ข้างหน้าอีก 7 ตัวนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย จึงไม่จำเป็นต้องเขียนก็ได้ - ถ้าคุณต้องการแยก File.reg ให้เป็นคนละตัวระหว่าง Disable กับ Enable ก็ให้ใช้คำสั่ง Save as จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อไฟล์ก็ได้ค่ะ

D. ปิด/เปิดTask Manager โดยการเขียน batch file 1. Disable (ปิดการใช้งานTask Manager) Pic 5. - Copy code จากตารางข้างล่างนี้ จากนั้นนำไป Paste ใน Notepad หรือ WordPad > Save เป็นFile.bat ตั้งชื่ออะไรก็ได้(นามสกกุล.bat คุณต้องพิมพ์ใส่เอง) จากนั้น คลิกขวาที่ file.bat > เลือก Run as administrator > Yes @echo off reg add HKCU\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System /v DisableTaskMgr /t REG_DWORD /d 1 /f 2. Enable (เปิดการใช้งานTask Manager) Pic 2. - คลิกขวาที่ file.bat (ที่คุณสร้างขึ้นตามข้อ 1.) > เลือก Edit จากนั้นเปลี่ยนค่า /d= 0 > Save > คลิกขวาที่ file.bat > เลือก Run as administrator > Yes - หรือ ถ้าคุณต้องการลบการตั้งค่า Value ที่ใช้ในการตั้งค่าออกไป ก็ต้องเขียนคำสั่งเป็น reg delete แบบในตารางข้างล่างนี้ @echo off reg delete HKCU\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System /v DisableTaskMgr/f ความหมายของ code ในตารางก็คือ ให้ลบ Dword value ที่ชื่อ DisableTaskMgr Note: จากตัวอย่างเป็นการสร้าง Batch file ในรูปแบบง่ายๆ อันที่จริงเราสามารถรวม File ที่ใช้ในการปิด และ เปิดเป็น File เดียวกันได้ (if, goto Command) แต่ฉันคิดว่าเอาแบบบรรทัดเดียวดีกว่า เพราะมันทำความเข้าใจได้ง่ายสำหรับผู้อ่านที่มีพื้นฐานไม่มาก

Note:

- ไฟล์กระทำการของโปรแกรม Task Manager จะถูกเก็บไว้ที่ C:\Windows\system32\Taskmgr.exe ซึ่งคุณสามารถเข้าไป Double click เพื่อเปิด หรือ Create Shortcut ได้เหมือนกับโปรแกรมทั่วๆไป

- ถ้าคุณต้องการเปิด Task Manager ด้วยการพิมพ์ก็สามารถทำได้ วิธีการก็คือ ให้คุณพิมพ์คำว่า Taskmgr ลงไปที่ Run dialog, Address bar, cmd, Windows PowerShell (มีให้ใช้เฉพาะ Win 8 และ Windows Server) ตัวใดตัวหนึ่งจากนั้น
กด Enter